วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พรรคไทย (Thai Party)

ตอนที่ 1 ที่มาของพรรคไทย
1.  จุดเริ่มต้นของพรรคไทย
               พรรคไทย เป็นพรรคการเมืองในอุดมคติของผู้เขียน เป็นรูปแบบการปกครองแบบใหม่ ที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนเอง   โดยอาศัยศาสตร์หลายสาขามาผสมผสานกัน เช่น  การเมือง การปกครอง เทคโนโลยีสาขาต่างๆ เทคโนโลยีการสื่อสาร เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์  เว็บ2.0 เว็บ3.0 เว็บ4.0 ออนโทโลยี  สารสนเทศศาสตร์  เศรษฐศาสตร์ การตลาด การธนาคาร นิเทศศาสตร์ การประชาสัมพันธ์ แนวคิด ปรัชญา ความเชื่อ ความเป็นไปได้ หลักศาสนา หลักความยุติธรรม หลักประชาธิปไตย หลักความเสมอภาพ หลักการบัญชี บัญชีแยกประเภท 2มิติ  บัญชีแยกประเภท 3 มิติ และ 4 มิติ หลักการตรวจสอบ หลักความโปร่งใส โลกในยุคสมัยใหม่ ในอุดมการณ์และจินตนาการของผู้เขียน  ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจจากนักปรัชญาชาวกรีก ชื่อ อาริสโตเติล 384 ปีก่อนคริสศักราช  องค์ประกอบของพรรคไทย จะบรรจุไว้ในฐานความรู้แบบออนโทโลยี และจะนำมาอธิบายในรายละเอียดเป็นส่วนๆ รูปแบบของพรรคไทย สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทุกภาคส่วนของสังคม และทุกประเทศ แต่ก็ขึ้นกับเงื่อนไปและเวลาและความเหมาะสม แต่สำหรับประเทศไทย ผู้เขียนคิดว่าได้เวลาเหมาะสมแล้วที่จะทำได้ ผู้เขียนจึงตั้งชื่อว่า พรรคไทยโมเดล (Thai Party Model)  หมายถึง รูปแบบนี้ อาจจะกำเนิดได้ในประเทศไทยก่อน แล้วถ้าคิดว่าดี เหมาะสม อาจจะมีประเทศอื่นๆเอาไปทำได้  ผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาจะสงวนลิขสิทธิ์ในแนวคิด ใครเห็นด้วย อยากเอาไปปฏิบัติ ก็ย่อมทำได้ทันที แต่ผู้เขียนเอง ก็มีแนวคิดอยากจะรวบรวมผู้คน ตั้งพรรคการเมืองจริง ตามแนวคิด เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม ตามอุดมคติ เพื่อจะได้เป็นต้นแบบ ที่สมบูรณ์แบบ ตามแบบทีผู้เขียนอยากจะเห็นจริงๆ ซึ่งการตั้งพรรคจริง อาจจะเริ่มได้ในปี พ.ศ. 2555 หรือ 2556 ก็แล้วแต่ความเหมาะสม
                  เป้าหมายสูงสุดของพรรคไทย คือการทำให้สังคมหนึ่ง ๆ อยู่กัน อย่างมีความสุขที่สุด มีการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ลดการซื้อคะแนนลงไปเรื่อยๆ จนอาจจะไม่มีในที่สุด ขจัดปัญญาการคอรัปชั่นลงไปเรื่อยๆ จนอาจจะไม่มีในที่สุด เป็นสังคมพึ่งพาตนเอง และตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง และสร้างรายได้ของประเทศจากธุรกิจบริการให้มากขึ้น  เพื่อทดแทนรายได้จากการใช้แรงงานให้มากขึ้น ทำให้สังคมมีความสุขอย่างทั่วถึง  กระจายรายได้พอเพียง ความเหลื่อมล้ำของรายได้ลดลง รายได้รวมของประเทศเพิ่มมากขึ้น เน้นธุรกิจที่รักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
                  ถ้าเป็นไปได้ตามที่ผู้เขียนจินตนาการ สังคมไทย เป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุด ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด  มั่งคั่งที่สุด จะเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมใหม่ จะมีนักการเมืองอาชีพ โดยไม่ต้องใช้เงิน อาสาทำงานอย่างมีเกียรติ  มีเงินเดือนพอเพียงต่อการเลี้ยงชีพ วัฒนธรรมบริจาค จะมาแทนวัฒธรรมซื้อเสียง วัฒนธรรมขอเงินจากสส. จะเป็นวัฒนธรรมบริจาคเงินช่วยสส. วัฒนธรรมความเคือบแคลงใจ จะเป็นวัฒนธรรมไว้วางใจ ในสภาผู้แทน จะมีคนการศึกษาระดับปริญญาโท ปริญญาเอก มากขึ้น  คนไม่ดีจะถูกกีดกันโดยคนกลุ่มใหญ่แบบอัตโนมัติ  สังคมจะสงบขึ้น  โขมยลดลง โจรลดลง การเข่นฆ่ากันลดลง ทุกคนในประเทศไทย ได้รับปัจจัยพื้นฐานอย่างพอเพียง  ระบบการศึกษาจะเปลี่ยนแปลง  คนมีการศึกษาสูงจะมากขึ้นอย่างมาก
                  ในเบื้องต้น ผู้เขียน จะอธิบายในภาพกว้าง และจะลงลึกในแต่ละเรื่องอีกครั้งหนึ่ง ทั้งหมดจะมีประมาณ 100 ตอน ซึ่งจะทยอยลงไปเรื่อยๆ ตามแต่ว่า มีเวลามากน้อยแค่ไหน

2. แนวคิดพื้นฐาน
             จากภาพที่เห็น โดยทั่วไป โครงสร้างของประชากรของสังคมหนึ่งๆ จะมีภาพเป็นแบบข้างบน ถ้าหากว่า เอามิติต่อไปมานี้มาจับ ยกตัวอย่างเช่น มิติการศึกษา เราจะเห็นว่า คนที่มีการศึกษาสูง จะมีจำนวนน้อยกว่า คนที่มีการศึกษาน้อย แต่หลักประชาธิปไตย คือ 1 คน 1 เสียง จะมีการศึกษาเท่าใดก็ตาม ดังนั้น ถ้ามีการโหวต 1 คน ต่อ 1 เสียง ผู้ที่กำหนดทิศทาง ผลการโหวตได้ คือ กลุ่มคนฐานล่าง มิใช่ กลุ่มคน ฐานบน  หรือถ้าเอามิติ คนที่มีความรู้หรือมีภูมิปัญญา ภาพก็จะเป็นแบบข้างบนเช่นกัน  หรือถ้าจะเอามิติคนมีฐานะดี ภาพก็จะเป็นแบบข้างบนเช่นกัน ดังนั้น ในสภาพปัญหาปัจจุบัน ในเมื่อ กลุ่มฐานล่าง เป็นผู้กำหนด ทิศทางการโหวต ปัญหาการซื้อคะแนน จึงอาจจะเกิดขึ้นได้ง่าย  ดังนั้น คนที่จะเข้าไปสู่ ผู้มีอำนาจ ในการจัดการทรัพย์สิน ของส่วนกลาง ต้องผ่านกระบวนการนี้ ต้องใช้เงินจำนวนมาก และวงจร การทำงาน มีวาระ ในช่วงที่ทำงาน จึงต้องใช้อำนาจ ในการสะสม ต้นทุน เพื่อนำไปสู่กระบวนการรอบใหม่  และเป็นเช่นนี้ตลอดไป นี่คือ ข้อเสีย ของระบบ ที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ในปัจจุบัน
               คำถาม ก็คือว่า ทำอย่างไร กลุ่มคน ที่อยู่ตรงกลาง ไปหาบน จะเป็นผู้บทบาท ในการกำหนดทิศทางการโหวตได้บ้าง  ซึ่งกลุ่มคน ที่อยู่ตรงกลางไปหาบน (มิติ การศึกษา, ภูมิปัญญา, ฐานะ) โอกาสที่จะถูกซื้อคะแนนได้ จะน้อยกว่า แต่ปัญหาปัจจุบันคือ คนที่อยู่ตรงกลางไปหาบน มีจำนวนน้อยกว่า และที่สำคัญ รวมตัวกันไม่ติด และอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย อยู่คนละพื้นที่ และทิศทางการโหวต ไปคนละทิศละทาง ยิ่งมีจำนวนน้อยกว่า และยิ่งโหวตไปคนละทิศละทาง ยิ่งทำให้ คนที่อยู่ฐานล่าง กำหนดทิศทางได้ดีกว่า เพราะอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน และโหวตในทิศทางเดียวกันมากกว่า
               แนวคิดของพรรคไทย ก็คือ ทำอย่างไร จะให้คนที่อยู่กลุ่มกลาง ไปหาบน มีบทบาท ในการเมืองมากขึ้น กำหนดทิศทางการโหวตได้มากขึ้น ขจัดปัญหาการซื้อคะแนนได้มากขึ้น และแน่นอนที่สุด เป้าหมายสูงสุดของแนวคิดพรรคไทย คือ การทำให้สังคม อยู่กัน อย่างมีความสุขที่สุด มีการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม และผลักดัน ให้ผู้มีภูมิปัญญา มีการศึกษาดี เข้าไปมีอำนาจ โดยปราศจาก เงื่อนไข หรือพูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ คือ ไม่ได้เข้าไป แบบซื้อคะแนนนั่นเอง แต่หลักประชาธิปไตย 1 คน ต่อ 1 เสียง คงไว้เหมือนเดิม

(คอยติดตามตอนต่อไปครับ แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ครับ ขอบคุณครับ)
-------------------------------------------------------------------------------
รภัสสิทธิ์ ชินภัทรจีรัสถ์
30/08/2554
link http://www.facebook.com/rapassitc

พรรคไทย
https://www.facebook.com/groups/203807523015512

thaipartymodel@gmail.com